สอวช. และ สจล. จับมือพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ เปิดตัว The Reverse Innovation Journey

 สอวช. และ สจล. จับมือพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ เปิดตัว The Reverse Innovation Journey

สอวช. และ สจล. จับมือพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ เปิดตัว The Reverse Innovation Journey รุกนวัตกรรม AI เร่งสปีดสร้างโซลูชันธุรกิจจริง เชื่อม Corporate–Startup

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และภาคเอกชนชั้นนำ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)  Amazon Web Services (Thailand) Co.,Ltd. เปิดตัวโครงการ “The Reverse Innovation Journey” เพื่อขับเคลื่อนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริหารจัดการความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกับภาคเอกชนรายใหญ่ สร้างผลลัพธ์ทั้งทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่จับต้องได้

รองศาสตราจารย์ ดร. คมสัน มาลีสี อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า “สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มุ่งสร้างนวัตกรรมสู่สังคมไทยและสังคมโลกอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยวิสัยทัศน์ “The World Master of Innovation ผู้นำนวัตกรรมระดับโลก” มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างบริษัทชั้นนำของประเทศและ Startup เพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศที่เข้มแข็งและยั่งยืน แนวคิดสำคัญของโครงการคือการนำหลัก Open Innovation, Design Thinking & Design Sprint, Experiential Learning Theory และ Triple Helix Model มาใช้ ผ่านกระบวนการ Reverse Pitching ให้บริษัทขนาดใหญ่เสนอปัญหาและความต้องการ เพื่อให้นักศึกษาและสตาร์ทอัพร่วมกันหาทางแก้ไข รวมถึงพัฒนา Pilot Project เช่น Low-risk Pilot for Strategic Co-creation และ Tech Upgrade Challenge สร้างต้นแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นตัวกลางสำคัญเชื่อมโยงความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่กับศักยภาพของบริษัทนวัตกรรมหรือสตาร์ทอัพ”

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงาน สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า “ประเทศไทยมีจำนวนบริษัทสตาร์ทอัพและบุคลากรที่มีศักยภาพจำนวนมากในมหาวิทยาลัย แต่ยังคงพบข้อจำกัดสำคัญในด้านความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในระดับเทคโนโลยีขั้นสูง ในขณะเดียวกันบริษัทเอกชนรายใหญ่จำนวนมากก็ประสบปัญหาในการหา “พันธมิตรนวัตกรรม” ที่สามารถพัฒนาโซลูชันเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ของตนได้อย่างแท้จริง

Screenshot

สอวช. จึงเห็นสมควรพัฒนา “โมเดลต้นแบบการสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับสตาร์ทอัพในมหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจและมหาวิทยาลัย ผ่านกิจกรรม อาทิReverse Pitching และ Collaborative Bootcamp นอกจากนี้ เรายังได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและนวัตกรรมของประเทศ ได้แก่ Central Retail Digital ภายใต้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรด้านเทคโนโลยี: Amazon Web Services (AWS) เพื่อสร้างโจทย์ธุรกิจจริงให้สตาร์ทอัพพัฒนาโซลูชันเชิงนวัตกรรมอีกด้วย”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. รัชนี กุลยานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและความร่วมมือระหว่างประเทศ สจล. และหัวหน้าโครงการ กล่าวว่า “โครงการนี้เปิดพื้นที่ให้กับบุคลากรที่มีศักยภาพหลากหลาย ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยไม่จำกัดสถานะหรือประเภทของผู้สมัคร เพื่อส่งเสริมให้เกิดความหลากหลายของแนวคิดและรูปแบบการแก้ปัญหา ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมร่วมกับภาคธุรกิจอย่างแท้จริง โดยผู้เข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ทั้งในรูปแบบรายบุคคลหรือแบบทีม โดยโครงการจะกำหนดให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เป็นหัวข้อหลักในการทดลองโมเดลต้นแบบในระยะเริ่มต้น แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดว่าความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่กับบริษัทสตาร์ทอัพจะต้องอยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยี AI เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความร่วมมือที่อยู่ในประเด็นอื่นๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจอย่างชัดเจน เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุขั้นสูง ดิจิทัลแพลตฟอร์ม การแพทย์แม่นยำ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ก็สามารถนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาภายใต้กิจกรรมของโครงการนี้ได้เช่นเดียวกัน

เราได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ทบทวนและวิเคราะห์โมเดลต้นแบบที่ สอวช. พัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยได้ทำการปรับปรุงให้สอดคล้องและเหมาะสมสําหรับการต่อยอดนําไปใช้กับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการออกแบบกิจกรรม “Corporate Reverse Pitching” เพื่อระบุปัญหาทางธุรกิจจากบริษัทใหญ่ แล้วใช้เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกับสตาร์ทอัพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเวทีให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถ “นำเสนอปัญหา” หรือ “ช่องว่างทางธุรกิจ” ที่ต้องการเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาแก้ไข เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพ นักวิจัย หรือผู้พัฒนาเทคโนโลยี สามารถพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาแบบตอบโจทย์จริง

และในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2568 เริ่มพัฒนาแนวทางความร่วมมือและจัดกิจกรรมการนําเสนอโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากบริษัทใหญ่ (Corporate Reverse Pitching)

ธันวาคม 2568 จัดกิจกรรม Collaborative Bootcamp เพื่อให้บริษัทขนาดใหญ่และบริษัทสตาร์ทอัพเกิดการทํางานและต่อยอดการแก้ปัญหาโจทย์ร่วมกัน

มีนาคม 2569 จัดกิจกรรมการนําเสนอผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกัน (Reverse Pitching Demo Day)

เมษายน–พฤษภาคม 2569 จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ในประเด็นการสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทสตาร์ทอัพ ร่วมกับ Key Opinion Leader (KOL)

มิถุนายน 2569 จัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการขับเคลื่อน และขยายผลความร่วมมือระหว่างบริษัทขนาดใหญ่และสตาร์ทอัพในประเทศไทย สำหรับการต่อยอดนำโมเดลต้นแบบไปใช้ต่อไป

สอวช. และ คณะทำงานโครงการฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการThe Reverse Innovation Journey จะเป็นโมเดลต้นแบบที่จะช่วยขับเคลื่อน ส่งเสริม สนับสนุนและขยายผลความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและสตาร์ทอัพที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานอื่นๆ ในอนาคตต่อไป

K

ภาพรวม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์