ไทยก้าวสู่ยุคสมรสเท่าเทียม – จุดเปลี่ยนแห่งสิทธิมนุษยชนในเอเชีย

หลังจากเดินทางผ่านการต่อสู้ยาวนานกว่า 20 ปี วันนี้ประเทศไทยได้จารึกหน้าประวัติศาสตร์ด้วยการผ่าน กฎหมายสมรสเท่าเทียม อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ถือเป็นก้าวย่างสำคัญของสังคมไทยในการเคารพความหลากหลาย และยกระดับความเท่าเทียมของสิทธิพลเมืองในระดับสากล
จุดเริ่มต้นการต่อสู้ที่ไม่ง่าย
การผลักดันสิทธิสมรสสำหรับคนหลากหลายเพศในไทย เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ภายใต้รัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแม้มีความพยายามจะริเริ่มแนวคิดดังกล่าว แต่ก็ต้องยุติลงเพราะสังคมยังไม่เปิดรับ
ต่อมาในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปี 2556 มีการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมสิทธิเท่าคู่สมรสชายหญิง จนกระทั่งปี 2563 พรรคก้าวไกลเริ่มเดินหน้าเสนอร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเข้าสภา แม้จะเผชิญความล่าช้าและสภาล่มหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและพลังของภาคประชาชน ก็ผลักดันให้กฎหมายนี้กลายเป็นจริง

ไทย: ประเทศที่ 3 ในเอเชีย
การผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทย ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ต่อจาก ไต้หวัน (2019) และ เนปาล (2023 – ยังอยู่ในสถานะคำสั่งศาลชั่วคราว) ที่รับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคที่ยังเต็มไปด้วยข้อจำกัดทางวัฒนธรรม ศาสนา และกฎหมาย
การยอมรับในภูมิภาคอาเซียน
แม้หลายประเทศในเอเชียจะมีการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่หากพิจารณาทั้งระบบสิทธิทางกฎหมายแล้ว ยังคงล้าหลังกว่าภูมิภาคยุโรปหรืออเมริกา
ผลสำรวจของ Pew Research Center เมื่อปลายปี 2023 พบว่า ชาว เวียดนาม สนับสนุนสมรสเท่าเทียมถึง 65% และรัฐบาลเวียดนามกำลังพิจารณาแก้ไขกฎหมายสมรส ขณะที่ไทยและกัมพูชาก็มีแนวโน้มสนับสนุนสูง ส่วนในประเทศมุสลิม เช่น มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย รวมถึง ฟิลิปปินส์ ที่นับถือศาสนาคริสต์แบบคาทอลิก ยังยึดแนวทางอนุรักษ์นิยมสูง ทำให้กฎหมายลักษณะนี้ยังไม่มีโอกาสบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้

จุดเปลี่ยนของภูมิภาคและความหวังใหม่
ในเวทีโลก ขณะนี้มี 37 ประเทศและดินแดน ที่รับรองการสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ โดยส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป อเมริกา และโอเชียเนีย ขณะที่ไทยแม้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ถือเป็น “ความหวัง” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนเชิงกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวถึงกฎหมายนี้ว่า “จากวันนี้ ทุกความรักของคนไทยจะถูกรับรองทางกฎหมาย ทุกคู่จะมีชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี บนผืนแผ่นดินไทย” พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมในทุกมิติ
ความรักมีค่าเท่ากัน
เส้นทางสมรสเท่าเทียมในไทย คือภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสังคม และการยกระดับประชาธิปไตยเชิงวัฒนธรรม ที่เปิดกว้างให้ทุกคนไม่ว่ามีเพศหรืออัตลักษณ์ใด มี “สิทธิในการรัก” อย่างเท่าเทียม การผ่านกฎหมายครั้งนี้ไม่ใช่แค่การยอมรับบนกระดาษ แต่คือ “การยืนยันคุณค่าของความรัก” ที่คู่ควรในทุกสังคม