ก้าวไกลโพส นโยบายพลังงานสะอาดเพื่อกลุ่มทุน “ประยุทธ์คิด เศรษฐาสานต่อ

 ก้าวไกลโพส นโยบายพลังงานสะอาดเพื่อกลุ่มทุน “ประยุทธ์คิด เศรษฐาสานต่อ

สถานการณ์ปัจจุบันในภาคพลังงาน จากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีการประกาศรับฟังความคิดเห็นกรณีค่าไฟที่เป็นไปได้ในช่วงเดือนมกราคม 2567 มีความเป็นไปได้ที่ค่าไฟอาจจะพุ่งขึ้นไปถึง 4.68 บาทต่อหน่วยในกรณีที่เลวร้ายน้อยที่สุด ส่วนในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจขึ้นไปแตะถึง 6 บาทต่อหน่วย

ก้าวไกล

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สวนทางกับสิ่งที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เพิ่งแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 60 วัน ที่หนึ่งในนั้นมีเรื่องของการลดค่าไฟเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลด้วย

แต่ด้วยความที่นโยบายดังกล่าวเป็นเพียงการยืดหนี้โดยไม่มีมาตรการรองรับ เล่นกับความคาดหวังของประชาชนว่าเชื้อเพลิงจะมีราคาลดลง จะทำให้ก้อนหนี้ที่หน่วยงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกอยู่จะลดลงไปด้วย แล้วรัฐบาลจะสามารถคงราคาค่าไฟอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยได้ต่อไป

แต่ในความเป็นจริงทุกอย่างสวนทาง ราคาเชื้อเพลิงโลกเพิ่มสูงขึ้น ก้อนหนี้ที่แบกอยู่ก็ขยายขึ้นไปด้วย เราจึงอาจจะได้เห็นราคาค่าไฟมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปแตะถึง 6 บาทต่อหน่วยในกรณีที่เลวร้ายที่สุด

พรรคก้าวไกลย้ำมาเสมอว่ารัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขที่โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ หยุดการนำก๊าซนำเข้าของแพงมาให้ประชาชนแล้วนำก๊าซอ่าวไทยของถูกให้เอกชน แก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อลดค่าความพร้อมจ่าย หยุดเอาเงินของประชาชนไปให้กลุ่มทุนฟรีๆ ไปสร้างโรงไฟฟ้าที่สร้างมาแล้วไม่ได้เดินเครื่อง

แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกลับไม่มีความพยายามแก้ไขอย่างจริงใจ ซ้ำร้ายล่าสุด ยังมีความพยายามในการ “สานต่อปัญหาเดิม เพิ่มปัญหาใหม่ ปล้นคนไทยให้จ่ายค่าไฟแพงขึ้น” ผ่านการนำเรื่องของ “พลังงานสะอาด” มาบังหน้า เพื่อประเคนผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน “ขาประจำ” ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนโยบายพลังงานในสมัยที่แล้วเลย

นั่นจึงเป็นเหตุผล ที่วันนี้ (13 พ.ย. 2566) ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เปิดการแถลงข่าวจับตานโยบายรัฐบาลในส่วนของ นโยบายการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินการต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนี้กว่า 8 พันเมกะวัตต์ที่เต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส

[ จิ๊กซอว์ 5 ชิ้น : ส่วนประกอบค่าไฟแพงที่คนไทยต้องแบกรับในอนาคต ]

เมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์ความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่าลำดับของเหตุการณ์ทั้งหมดชี้ไปในทิศทางที่ทำให้เห็นได้ว่านี่คือสิ่งที่ “ประยุทธ์เป็นคนคิด เศรษฐามาสานต่อ โดยรับคำสั่งมาจากกลุ่มทุนไอ้โม่งกลุ่มหนึ่ง”

1) วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ออกมติรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,203 เมกะวัตต์ โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ไว้ว่าเพื่อเพิ่มการซื้อพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซื้อพลังงานหมุนเวียนเพื่อขายให้กับเอกชนที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด

2) ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 กกพ. ได้มีการออกประกาศระเบียบการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน ซึ่งถูกตั้งคำถามมากมายโดยทั้งนักวิชาการและผู้ร่วมกระบวนการคัดเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันรายได้ที่นานถึง 25 ปี, ระเบียบการรับซื้อที่ไม่ใช่การประมูลราคาแต่เป็นการให้คะแนนเชิงเทคนิคเพียงอย่างเดียว, การไม่ยอมบอกหลักเกณฑ์ว่าจะมีการให้คะแนนอย่างไร ทำให้ผู้เข้าร่วมหลายคนสงสัยว่าอาจจะเป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจโดยปราศจากหลักเกณฑ์ในการตัดสินหรือไม่

3) วันที่ 5 เมษายน 2566 กกพ. ประกาศผลการคัดเลือก ที่เกินกว่าครึ่งของทั้ง 5,203 เมกะวัตต์ที่รัฐจะรับซื้อ ถูกจัดสรรไปให้กลุ่มทุนเอกชนเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น

4) เมื่อทั้งกระบวนการคัดเลือกและผลของการคัดเลือกออกมาแบบที่เรียกได้ว่าแทบจะล็อกตัวเช่นนี้ จึงมีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นร้องต่อศาลปกครองว่า กกพ. ได้ออกประกาศรับซื้อพลังงานหมุ่นเวียนอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ศาลปกครองได้มีคำสั่งทุเลาชั่วคราวการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนพลังงานลม 1,500 เมกะวัตต์เป็นการชั่วคราว โดยเหตุผลที่ศาลปกครองให้ไว้ในคำสั่งทุเลาชั่วคราวดังกล่าว มีการระบุไว้อย่างชัดเจนถึงความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น

🧐การที่ กกพ. ไม่มีการประกาศเกณฑ์การให้คะแนนที่ใช้ในการคัดเลือกผู้ชนะ เป็นการผิดต่อกฎหมาย พ.ร.บ.คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน 2550 ที่กำหนดว่า กกพ. จะต้องเป็นผู้ออกระเบียบ หลักเกณฑ์ และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

🧐ต่อมาเมื่อมีผู้ร้องเรียน กกพ. จึงออกหลักเกณฑ์ตามหลังมา แต่หลักเกณฑ์ที่ออกมากลับออกหลังปิดรับสมัครไปแล้วถึง 4 วัน (29 พ.ย. 2565)

🧐เมื่อมีผู้อุทธรณ์ ก็ปรากฏว่า กกพ. กลับทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาคำอุทธรณ์เอง ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองอย่างชัดเจน

🧐ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกไม่สามารถขอดูคะแนนการประเมินจากคณะอนุกรรมการการคัดเลือกได้

5) เมื่อความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น พรรคก้าวไกลจึงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ และได้นำมาสู่การตั้งกระทู้สดของ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในวันที่ 26 ตุลาคม 2566 ที่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธการตอบกระทู้สดด้วยตนเอง แต่กลับขึ้นมาตอบกระทู้ของคนอื่นได้ครบถ้วน

ตั้งแต่วันที่ประยุทธ์ออกมติดังกล่าวมา จนถึงวันที่เศรษฐาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามกรณีร้อนที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกอย่างที่ว่ามานี้ทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย ว่าสิ่งที่รัฐบาลเศรษฐากำลังทำอยู่เป็นการเลือกที่จะปิดตาข้างเดียว ทำไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นในภาคพลังงานไทยอยู่ หรือเลวร้ายไปกว่านั้น คือการเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการความไม่ชอบมาพากลนี้ เป็นการเร่งรัดกระบวนการให้ประชาชนจ่ายค่าไฟแพงขึ้น จากคำสั่งของ “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่?

สิ่งที่ยิ่งทำให้อดคิดไม่ได้ ก็คือการที่มีการออกมติที่อนุมัติให้มีการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอีก 3,600 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2566 ทำให้โครงการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนนี้มีปริมาณรวมเป็นกว่า 8 พันเมกะวัตต์แล้ว ซ้ำร้ายยังมีข้อแม้เพิ่มขึ้นมาว่าห้ามผู้มีข้อพิพาทหรือฟ้องร้องรัฐอยู่เป็นผู้ยื่นข้อเสนอ ทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการจงใจล็อกผลให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกแล้วหรือไม่?

และหลังคำสั่งศาลออกมาเพียงไม่กี่วัน คือวันที่ 15 ตุลาคม 2566 รัฐบาลก็ยังได้มีการเดินหน้าลงนามในสัญญารับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ระหว่างรัฐกับเอกชนรายหนึ่งเป็นจำนวนถึง 649.3 เมกะวัตต์ต่อ ทั้งที่มาจากประกาศฉบับเดียวกันที่เป็นปัญหาอยู่

[ นโยบายพลังงานสะอาดของรัฐบาลเศรษฐา : 3 ประเด็นที่ชวนตั้งคำถาม ว่าเป็นไป “เพื่อใคร” ]

1) ประกาศรับซื้อพลังงานหมุนเวียนของ กกพ. ที่มีปัญหาและไม่โปร่งใส อย่างที่ศาลปครองได้ให้เหตุผลเอาไว้ข้างต้น

2) การปฏิบัติที่แตกต่างระหว่างเอกชนกับประชาชน

2.1) ราคารับซื้อที่สูงเกินไปจากเอกชนที่ตั้งโดย กกพ. ที่นำไปสู่คำถามว่า กกพ. ทราบได้อย่างไรว่าราคาที่ตั้งมาเป็นราคาที่ถูกที่สุด เพราะโดยปกติที่ต่างประเทศทำกันคือการให้ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกยื่นเสนอราคาแข่งขันกันเข้ามา แล้วให้ผู้เสนอราคาที่ถูกที่สุดเป็นผู้ชนะไป แต่การตั้งราคาเองโดน กกพ. กลับไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูก และอาจเป็นการให้ประโยชน์เกินความจำเป็นกับเอกชนรายใดรายหนึ่ง

2.2) แม้ราคารับซื้อจากเอกชนและจากประชาชนจะใกล้เคียงกัน แต่ระยะเวลาการรับประกันรายได้ที่ให้เอกชนกลับยาวนานถึง 25 ปี ต่างจากที่รับประกันให้ประชาชนแค่ 10 ปี

2.3) กำลังการผลิตติดตั้งสูงสุดต่อโครงการ ในส่วนของเอกชนติดตั้งได้ถึง 90 เมกะวัตต์ แต่ประชาชนติดตั้งได้โครงการละแค่ 0.01 เมกะวัตต์ หรือต่างกัน 9 พันเท่า

2.4) โควตาที่ให้ทั้งหมดเป็นการให้กับเอกชนกว่า 5,000 เมกะวัตต์ ให้กับประชาชนแค่ 90 เมกะวัตต์ เท่านั้น

3) ความจำเป็นในการรับซื้อพลังงานทดแทน ทั้งที่ประเทศไทยมีพลังงานไฟสำรองล้นเหลืออยู่แล้ว โดยตัวเลขล่าสุดคือ 55% และหากย้อนกลับไปดูในอดีต จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่มีการรับซื้อพลังงานจากเอกชน จะทำให้ประเทศมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ หมายความว่าประชาชนจะต้องจ่ายค่าไฟที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นแล้วไม่ได้ใช้

ในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการเปิดอนุมัติให้มีการประมูลโรงไฟฟ้า IPP กว่า 5 พันเมกะวัตต์ และไม่กี่ปีถัดมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ประเคนซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าอีก 1,400 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการออกระเบียบการรับซื้อ ยังไม่นับรวมกับที่เรากำลังพูดถึงกันวันนี้ คือการรับซื้อเพิ่มอีกกว่า 8 พันเมกะวัตต์ภายใต้รัฐบาลนี้

[ คำถามถึงรัฐบาลเศรษฐา : จะเลือกใครระหว่าง “กลุ่มทุนพลังงาน” หรือ “ประชาชน” ]

ทั้งหมดนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามไปที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. ที่มีอำนาจในการออกมติให้ทบทวนการลงนามสัญญา หรือชะลอการลงนามสัญญาออกไปก่อน อย่างน้อยเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและคลายข้อครหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ว่าเหตุใด จึงไม่มีการทำอะไรเลยในทิศทางที่จะทำให้โครงการนี้คลายข้อครหา มีความโปร่งใส เป็นธรรมแก่ทั้งผู้เข้าร่วมการคัดเลือกและประชาชนทั่วไป

ซ้ำยังปล่อยให้มีการลงนามสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนเกือบ 700 เมกะวัตต์ ทั้งที่ศาลได้มีคำสั่งระงับหรือชะลอการลงนามสัญญาออกไปก่อนแล้ว

คำถามก็คือ นี่คือการจงใจฮั้วประมูล ซื้อขายโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทอยู่หรือไม่?

พรรคก้าวไกลก็ต้องการเห็นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ แต่หากจะเกิดขึ้นก็ต้องมีกระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นโครงการที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

📌นี่คือสิ่งที่นายกรัฐมนตรีต้องมีคำตอบ ว่าในเมื่อกระบวนการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนนี้มีปัญหา ส่อทุจริต และไม่โปร่งใสอย่างชัดเจนเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจที่มีในการทบทวน ตรวจสอบ และชะลอ หรือกระทั่งยับยั้งการลงนามสัญญาหรือไม่?📌

หรือหากจะถามให้ง่ายไปว่านั้น คุณจะเลือกใคร ระหว่างนายทุนพลังงานหรือว่าประชาชน?